|
|
บทเรียนสำเร็จรูปหรือบทเรียนโปรแกรม เทียบได้กับการสอนของครูที่ดีคนหนึ่งนั่นเอง เมื่อผู้เรียนนำบทเรียนสำเร็จรูปมาเรียน เมื่อนั้นเขากำลังพบกับการสอนของครูดี ๆ เข้าแล้ว ครูที่มาสอนความรู้ ทักษะ และทัศนคติให้เขา เมื่อไรที่ไหน ก็ได้ที่เขาต้องการเรียน เป็นการสอนการเรียนแบบตัวต่อตัว และสามารถปรับการสอนให้ผู้เรียนสามารถไปได้ช้าหรือเร็ว ตามความสามารถของตนได้ บทเรียนนี้มีหลายรูปแบบ แล้วแต่จะบรรจุไว้ในสื่อการสอนอะไร ถ้าบรรจุในเล่มหนังสือเรียกว่า แบบเรียนสำเร็จรูปหรือแบบเรียนโปรแกรม ถ้าบรรจุอยู่ในเครื่องมือหรือกลไกอย่างง่าย เรียกว่า เครื่องสอนหรือ Teaching Machine บ้างก็ออกมาในรูปของสื่อโสตทัศนศึกษาบางประเภท เช่น สไลด์ เทป ภาพยนตร์ เป็นต้น จิตวิทยาที่เป็นพื้นฐานของบทเรียนโปรแกรม ทฤษฎีของธอร์นไดค์ กฎแห่งผล (Law of Effect) กล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) การที่ผู้เรียนได้กระทำซ้ำบ่อยครั้งจะเป็นการช่วยเสริมสร้างให้เกิดการเรียนรู้ที่มั่นคงขึ้น กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) เมื่อร่างกายพร้อมที่จะกระทำแล้วถ้ามีโอกาสที่จะกระทำ ย่อมเป็นที่พึงพอใจ ทฤษฎีของสกินเนอร์ ส่วนสำคัญที่นำมาใช้เป็นหลักของบทเรียนโปรแกรมคือ หลักการเสริมแรง ผู้เรียนจะเกิดกำลังใจต้องการเรียนต่อ เมื่อได้รับการเสริมแรงในขั้นตอนที่เหมาะสม |
|
ชนิดของบทเรียนโปรแกรม 1. บทเรียนโปรแกรมแบบเชิงเส้นหรือเส้นตรง (Linear Program) จัดเรียงลำดับเนื้อหาจาก กรอบที่ 1 กรอบที่ 2 ไปจนครบ ผู้เรียนจะต้องเรียนเรียงลำดับทีละกรอบต่อเนื่องกันไป 2. บทเรียนโปรแกรมสาขา (Branching Program) จัดเนื้อหาไว้เป็นกรอบเช่นเดียวกับแบบเชิงเส้น แต่จะมีกรอบย่อย ๆ แตกออกจากกรอบหลักเป็นกรอบสาขา ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องเรียนทุกกรอบ หลักการสร้างบทเรียนโปรแกรม แบ่งเป็นขั้นตอนใหญ่ ๆ 3 ขั้นตอน คือ 1.การนำเข้าสู่บทเรียน 2.การดำเนินเรื่องหรือการสอน 3.การสรุปและประเมินผล วิธีการสร้างบทเรียนโปรแกรม มีขั้นตอนที่สำคัญ 3 ขั้นตอน คือ 1. ขั้นการวางแผน 2. ขั้นดำเนินการ 3. ขั้นการนำไปใช้ ขั้นการวางแผน ผู้สร้างควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ เนื้อหาวิชาควรเป็นเรื่องที่คงตัวหรือเป็นหลักในการสอนตลอดไป ควรเป็นเนื้อหาวิชาที่ยังไม่มีใครนำมาทำเป็นบทเรียนโปรแกรมมาก่อน สามารถสร้างเสร็จได้ภายในเวลาที่กำหนด ผลที่ได้คุ้มกับการลงทุน พิจารณาถึงผลการเรียนและจำนวนนักเรียนที่จะใช้ ช่วยลดภาระของครูในการสอน และลดเวลาในการฝึกของนักเรียน สร้างแล้วสามารถจะวัดผลได้ตามความต้องการ ขั้นดำเนินการ ศึกษาหลักสูตร รวมทั้งประมวลการสอน กำหนดจุดมุ่งหมายในการสร้าง โดยอาศัยข้อมูลจากหลักสูตรและความต้องการของผู้เรียนเป็นหลัก วิเคราะห์เนื้อหา นำเอาเนื้อหาทั้งหมดมาแตกเป็นหัวข้อย่อย ๆ แล้วเรียงลำดับจากง่ายไปยาก สร้างแบบทดสอบ จะต้องให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้ อาจนำไปใช้ทั้งก่อนการเรียน (Pre-Test) และทดสอบหลังเรียน(Post-Test) ลงมือเขียน ต้องคำนึงถึงหลักการต่อไปนี้ เนื้อหาย่อย ๆ ในแต่ละหน่วยย่อมนำให้เกิดความรู้ในหน่วยถัดไป เนื้อหาหรือคำอธิบายต้องดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้ ช่วยให้ผู้เรียนสัมฤทธิ์ผลในการเรียนมากที่สุด เนื้อหาในแต่ละหน่วยควรพาดพิงถึงหน่วยเดิมด้วย ดูรายละเอียดได้ที่.. บุญเกื้อ ควรหาเวช (2543) นวัตกรรมการศึกษา.(พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ:SR Printing. |